Wednesday, November 30, 2016

ประวัติศาสตร์ของการบ้าน


โดยประวัติศาสตร์ การบ้านเป็นผลพวงจากวัฒนธรรมอเมริกัน ด้วยจำนวนนักเรียนเพียงไม่กี่คนที่สนใจในการศึกษาระดับที่สูงกว่า และเพื่อที่จะทำงานประจำวัน การบ้านถูกลดความสำคัญลง ไม่เพียงแค่โดยผู้ปกครอง แต่ยังรวมไปถึงศึกษาธิการเขต ในปี พ.ศ. 2444, 

รัฐสภาแห่งรัฐแคลิฟอเนีย ผ่านกฎหมายไม่ให้มีการให้การบ้านแก่นักเรียน ตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลไปจนถึงระดับ 8 แต่ในคริสต์ทศวรรษ 1950 (ระหว่าง พ.ศ. 2493-2503) อิทธิพลจากการแข่งขันในสงครามเย็นกดดันให้อเมริกา

ให้ความสำคัญแก่การบ้านอีกครั้งหนึ่ง เพื่อให้เยาวชนอเมริกันมีความสามารถมากกว่าหรือเทียบเท่ากับรัสเซียคู่แข่ง แต่หลังสิ้นสุดสงครามเย็นใน พ.ศ. 2534 ยังมีการสั่งการบ้านให้นักเรียนทำอย่างมากในการศึกษาทุกระดับชั้น

จากการศึกษาโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน ในปี พ.ศ. 2550 สรุปได้ว่าปริมาณการบ้านเพิ่มขึ้นตามเวลา ในกลุ่มตัวอย่างที่สุ่มขึ้นมาในเด็กอายุระหว่าง 6 ถึง 9 ปี แสดงให้เห็นว่า เด็กใช้เวลาทำการบ้านมากกว่า 2 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ ในขณะที่ในปี พ.ศ. 2524 เด็กใช้เวลาทำการบ้านเพียง 44 นาที 

การบ้านหรืองานมอบหมาย หมายถึงงานที่ครูหรืออาจารย์มอบหมายให้นักเรียนหรือนักศึกษาทำให้สำเร็จนอกห้องเรียน การบ้านทั่วไปอาจประกอบด้วย ระยะเวลาให้นักเรียนได้อ่านเพิ่มเติม และแสดงออกผ่านการเขียนหรือการพิมพ์, การแสดงออกถึงทักษะในการแก้ปัญหา, การเขียนโครงงาน หรือการฝึกฝนทักษะอื่น ๆ

กลยุทธ์สำหรับผู้ปกครอง


การเข้ามาดูแลช่วยเหลือเด็กทำการบ้านของผู้ปกครอง จะช่วยส่งผลดีต่อกระบวนการทำการบ้าน แต่การเข้ามาวุ่นวายมากเกินไป กลับส่งผลร้ายต่อตัวเด็กเอง

ผู้ปกครองยังสามารถช่วยจัดตารางเวลา และจัดเตรียมสถานที่ทำการบ้านให้ได้ โดยสถานที่ที่เหมาะสมควรจะต้องเงียบ ทำให้สามารถรวมสมาธิทำการบ้านได้อย่างเต็มที่ ห้องที่มีพื้นเรียบ, ไฟสว่างเพียงพอ, มีอุปกรณ์เครื่องเขียนครบครัน และมีพจนานุกรม เป็นสิ่งสำคัญมาก

ครูต้องการจะรู้ถึงความเข้าใจของเด็ก และความสามารถที่จะทำงานได้อย่างเป็นอิสระ ปราศจากความช่วยเหลือ, มักจะแนะนำผู้ปกครองไม่ให้ทำการบ้านให้เด็ก, ไม่ให้แก้การบ้านให้เด็ก และไม่ให้เขียนให้เด็กลอกตาม เกรด หรือคะแนนจากครู ควรจะเป็นสิ่งชี้บ่งถึงความสามารถของตัวเด็กเอง ไม่ใช่ความสามารถของผู้ปกครอง หรือการทำงานร่วมกันของเด็กและผู้ปกครอง

อย่างไรก็ตาม บางครั้ง ครูอาจจะให้การบ้านที่เกินความสามารถของเด็กที่จะทำได้ด้วยตัวเอง เพื่อที่จะให้ผู้ปกครองเข้ามาช่วยเหลือเด็กนักเรียนเช่นกัน

การเรียนรู้ด้วยตัวเอง สมควรจะได้รับการปฏิบัติใช้ และพัฒนาโดยการแนะนำเด็ก เช่น แนะนำวิธีการหาข้อมูลคำตอบ หรือวิธีการใช้พจนานุกรม มากกว่าการบอกคำตอบให้เด็ก

การให้เด็กอ่านออกเสียง สามารถช่วยให้ผู้ปกครอง ช่วยแก้ไขข้อผิดพลาดให้เด็ก และทำให้ทักษะการอ่านดียิ่งขึ้น

การที่ผู้ปกครองทำการบ้านไปพร้อมๆ กับเด็ก นอกจากจะเป็นตัวอย่างที่ดีให้แก่เด็กแล้ว ยังช่วยให้เด็กมีทัศนคติที่ดีต่อการทำการบ้านอีกด้วย

หนึ่งในกุญแจที่ผู้ปกครองสามารถทำได้คือ การเจรจากับครูถ้าการบ้านนั้น เยอะเกินไป หรือ ไม่เหมาะสมต่ออายุของนักเรียน การเจรจาต่อรองนี้ อาจจะกระทำได้โดยการคุยกับครูตัวต่อตัว หรือผ่านเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน หรือร่วมมือกับผู้ปกครองท่านอื่น หรือ สมาคมผู้ปกครองและครู เพื่อลดปริมาณการบ้านที่เกินไปให้กับเด็กทั้งห้อง หรือโรงเรียน
ข้อมูลและภาพจาก th.m.wikipedia.org

No comments:

Post a Comment