การที่ใจมีสิ่งยึดเหนี่ยวไว้ไม่ให้ฟุ้งซ่าน สงบนิ่งอนู่ในอารมณ์กัมมัฏฐาน ซึ่งมีอยู่ 40 อารมณ์กัมมัฏฐานควบคุมใจให้สงบ แล้วก็จะเกิดปัญญา มี 2 ประเภท คือ
1.สมถกัมมัฏฐาน ปฏิบัติธรรมด้วยการบริกรรม เป็นอุบายให้ใจสงบ ฝึกสติเพื่อสงบระงับนิวรณ์ ใช้สติกำหนดอารมณ์ของกัมมัฏฐานมี 40 อารมณ์ เช่น กสิณ พุทธทานุสติ ยกตัวอย่างเราบริกรรม คำว่า พุธโธ ก็เรียกว่าเราอยู่ในอารมกัมมัฏฐานแล้ว เราบริกรรมไปเรื่ิอยๆ จนจิตนั้นแนบแน่นในอารมณ์กัมมัฏฐานก็ทำให้จิตนั้นไม่ฟุ้งซ่านออกไปข โบราณกล่าวว่า ให้ใจนั้นอยู่กับเนื้อกับตัว
2.วิปัสสนากัมมัฏฐาน เป็นอุบายให้ใจนั้นเกิดปัญญา เมื่อจิตเราแนบแน่นกับอารมณ์กัมมัฏฐานแล้วใจมันจะเกิดปัญญา รู้แจ้งว่าสังขารทั้งหลายเป็นความไม่เที่ยงความทุกข์ เป็นความไม่มีตัวตน เรารู้แจ้งจนจิตนั้นคลายความยึดมั่นถือมั่นหรืออุปทาน ในสิ่งต่าง
กาม
หมายถึง ความพอใจ ความรัก ความต้องการ จะเป็นทางดีหรือไม่ดี ขึ้นอยู่กับใจว่าโน้มไปทางไหน แต่ในตำราเรียนนักธรรมชั้นโท จะกล่าวถึงในส่วนไม่ดีที่ทำให้เกิดทุกข์ มี 2 ประการ คือ
กิเลสกาม กิเลสที่อยู่ในจิตเรา เมื่อถูกกิเลสครอบงำคือ มักทำตามใจตามอารมณ์โดยขาดสติสัมปชัญญะ ทำไปแล้วมาเสียใจ บางคนไปทำร้ายร่างกายกันจนบาดเจ็บเสียชีวิต เช่น ความโกรธ ความโลภ เป็นต้น
วัตถุกาม คือ กามคุณ 5 ได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ วัตถุกามเป็นตัวกระตุ้นให้เรานั้นเกิดความโกรธ ความโลภ ความอิจฉา เป็นต้น มนุษย์ส่วนใหญ่ไม่รู้ จิตก็เข้าไปยึดมั่นจนกลายเป็นนิสัย ทำอะไรไปไม่รู้ตัว ทำไปแล้วกลับมาคิดได้หลังจากได้กระทำไปแล้ว
ทิฏฐิ 2
หมายถึง ความคิดเห็น ในหนังสือนักธรรมโท จะกล่าวในความหมายที่ว่าเป็นความคิดเห็นที่แตกต่างจากศาสนาพุทธ มี 2 ประการ คือ
สัสสตทิฏฐิ ทุกสิ่งทุกอย่างเป็นความยั่งยืน เช่น เมื่อเราตายไปก็จะมาเกิดเป็นมนุษย์อีกไม่มีการเปลี่ยน ขัดกับหลักของศาสนาพุทธในเรื่อง อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
อุจเฉททิฏฐิ มีความคิดเห็นว่า เมื่อตายไปแล้วไม่เกิดอีก ขัดแย้งกับศาสนาพุทธว่า ถ้าเรายังไม่สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ยังคงมีการเกิดด้วยอำนาจของอวิชชา ตัณหา อุปทาน เป็นเหตุให้มีความเกิดอีก ทำให้เราวนเวียนอยู่ในทุกข์
No comments:
Post a Comment