หลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ
หนังสือธรรมมะแจกฟรีเรื่อง ความจริงอันประเสริฐของมนุษย์ ของหลวงพ่อปัญญานันทภิกขุ ดาวน์โหลดท้ายบทความนี้
อธิบายถึงเรื่อง อริยสัจ 4 ประการ อริยสัจ
เป็นธรรมขั้นสูงในทางพระพุทธศาสนา เป็นเนื้อแท้แห่งคำสอนของพระผู้มีพระภาคเจ้า
พระองค์ได้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ก็เพราะว่าได้ตรัสรู้อริยสัจทั้ง 4 ประการ
อริยสัจนี้เรียกว่าเป็นของใหม่ในวงการพระศาสนาของชาวโลก
ความเป็นมาของอริยสัจ
ก่อนพระพุทธเจ้าเกิดขึ้นในโลก ยังไม่มีใครพูดใครสอนในเรื่องอริยสัจ 4
ประการ แม้ว่าประเทศอินเดียจะเป็นประเทศแห่งความสนใจในด้านนามธรรม
มีฤาษีชีไพรจำนวนมากที่ออกไปอยู่ป่า ทำการศึกษาค้นคว้าในเรื่องเกี่ยวกับจิตใจ
แต่ยังไม่ได้ค้นพบและพูดถึงเรื่องความจริง 4 ประการนี้
ครั้นเมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราทั้งหลายได้บวชค้นคว้าก็ได้ตรัสรู้หลักธรรม
4 ข้อนี้ จึงนำมาประการแก่ชาวโลกทั้งหลาย
ในการเทศนาครั้งแรกของพระผู้มีพระภาคเจ้าที่เมืองพาราณสี ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้
ถ้าเราไปอ่าน ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร อันเป็นสูตรแรกที่พระองค์แสดงแก่ปัญจวัคคีย์
พระองค์ก็ได้ค้นพบอะไรได้รู้ในเรื่องอะไร เรื่องนั้นเป็นประโยชน์แก่ชีวิตอย่างไร
ท่านเหล่านั้นฟังแล้วก็เกิดความรู้ความเข้าใจ อริยสัจ 4
จึงเป็นเรื่องที่ควรศึกษาสนใจ เพราะสามารถนำมาใช้ในชีวิตประจำวันได้
ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ
ในพระสูตรมีจำนวนมากที่พระองค์ตรัสว่า ถ้าไม่เข้าใจอริยสัจ 4
ประการแล้ว ความพ้นทุกข์ก็ย่อมจะเป็นไปไม่ได้ อริยสัจ 4
จึงเป็นวิชาที่จะทำให้คนเป็นพระอริยเจ้า
อริย แปลว่า ประเสริฐ
สัจ แปลว่า ของจริง
อริยสัจ จึงแปลว่า ของจริงอันประเสริฐ
หรือจะแปลอีกอยางหนึ่ง
อริยสัจ ก็แปลได้ว่า ของจริงที่ทำให้เป็นผู้ประเสริฐขึ้น
ใครรู้แจ้งเห็นจริงในสิ่งทั้ง 4 ประการนี้ก็จะกลายเป็น “อริยบุคคล” แปลว่า “
ผู้ประเสริฐ”
ใจความสำคัญของอริยสัจ
ธรรมที่จะทำให้คนเป็นผู้ประเสริฐ ก็คืออริยสัจ มีอยู่ 4 ประการด้วยกัน
คือ
1.
1.เรื่องทุกข์...ความไม่สบายกายและใจ
2. เรื่องสมุทัย..เหตุให้เกิดทุกข์
3. เรื่องนิโรธ...ความดับทุกข์ได้
4. เรื่องนิโรธคามินีปฏิปทา...ข้อปฏิบัติอันจะเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ได้
1.เรื่องทุกข์...ความไม่สบายกายและใจ
2. เรื่องสมุทัย..เหตุให้เกิดทุกข์
3. เรื่องนิโรธ...ความดับทุกข์ได้
4. เรื่องนิโรธคามินีปฏิปทา...ข้อปฏิบัติอันจะเป็นทางให้ถึงความดับทุกข์ได้
คนโบราณเขาจะเรียนอะไร เขาก็มักจะย่อเอาหัวใจไว้แล้ว ก็จำหัวใจนั้น
เวลานึกก็นึกได้ง่ายๆ เช่น อริยสัจ 4 ประการ ถ้าจะจำอย่างง่ายๆก็คือ ทุ สะ นิ มะ
ทุ...หมายถึง ทุกข์
สะ...หมายถึง สมุทัย
นิ...ก็คือ นิโรธ
มะ....ก็คือ มรรค
เมื่อเรานึกขึ้นได้ก็ขยายความได้
ทุกข์ : ความไม่สบายกายและใจ
“ทุกข์” หมายถึง ความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ เรียกว่า เป็นความทุกข์
อันนี้เป็นการพูดให้เข้าใจง่าย ให้เห็นง่าย อันความไม่สบายทางกายทางใจ
ก็ไม่ต้องสงสัยละเป็นความทุกข์แน่ๆ
คำว่า “ทุกข์” นี้อาจแปลได้หลายอย่าง แปลว่า ทนยากก็ได้ แปลว่า
ไม่น่าดูก็ได้ แปลว่า ไม่สบายก็ได้ หลายแง่หลายมุม
รวมความก็อยู่ในเรื่องไม่สบายกาย ไม่สบายใจทั้งนั้น
พระพุทธศาสนามองโลกในแง่ไหน?
เกี่ยวกับความทุกข์ พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า “โลกนี้มีแต่ทุกข์
ไม่มีความสุข”
ถ้าหากว่าเรามาศึกษาในเรื่องอย่างนี้
หรือวาคนต่างประเทศที่มาสนใจศึกษาเรื่องพระพุทธศาสนา เมื่อมาพบคำว่า ทุกข์ เข้า
อะไรๆก็เป็นทุกข์ไปทั้งนั้น ก็อาจจะนึกว่าพระพุทธศาสนามองโลกในแง่ร้าย
คือเห็นอะไรเป็นทุกข์ไปเสียทั้งหมด ความเข้าใจอันนี้ก็ไม่ถูกต้องตรงตามความเป็นจริง
คือว่า พระพุทธศาสนา ไม่ได้มองโลกในแง่ร้าย แล้วก็ไม่ได้มองโลกในแง่ดี
พระพุทธศาสนามองโลกในแง่ไหน ตอบได้ว่า ไม่ได้ได้มองในแง่ดีหรือร้าย
แต่ว่ามองในแง่ที่มันเป็นอยู่จริงๆนั้น คือมันมีความทุกข์
เพราะฉะนั้นพระพุทธเจ้าจึงตรัสวา โลกนี้มีความทุกข์
หรือว่าเต็มไปด้วยความทุกข์ก็เพราะวาสภาพความเป็นจริงมันอยู่ในรูปนั้น มันไม่มีอะไรที่เรียกว่าเป็นสุข
ความสุขนั้นไม่ใช่ของจริงมันเป็นเพียงของที่เรียกว่า ปลอม เกิดขึ้น
เนื้อแท้มันเป็นความทุกข์
ก็เหมือนกับความร้อนนั่นเอง นักวิทยาศาสตร์บอกว่าโลกนี้มีแต่ความร้อน
ความเย็นไม่มี ที่เรียกว่า ความเย็นก็คือความร้อนมันลดลงไปเท่านั้น เช่น ร้อน 100
องศา ลดลง 5 องศา ก็ยังร้อนอยู่ 95 องศา เรียกว่าความร้อนทั้งนั้น
ไม่มีความเย็นแต่ภาษาชาวบ้านก็มักจะเรียก “ความร้อน” ที่ลดลงไปว่า ความเย็น
หมายความว่ามี ความเย็น และ ความเย็น เปรียบเทียบกับในทางธรรมก็คือ ความทุกข์ และ ความสุข ซึ่งที่จริงความสุขนั้น
เป็นเรื่องที่ความทุกข์มันลดลงไปเท่านั้นเอง
เหมือนกับความร้อนความเย็นที่ได้กล่าวมาแล้ว
“โลก”ที่มีใจครอง
เมื่อเราเห็นว่าโลกเต็มไปด้วยความทุกข์
เราก็ต้องหาวิธีว่าจะแก้ไขความทุกข์นั้นได้อย่างไร
แต่ว่าโลกที่พระพุทธเจ้าตรัสถึงนี้ เราอย่ามองให้กว้างเกินไป
มันจะวุ่นวายพระองค์ต้องการให้เราศึกษาเข้าใจ โลกแคบๆคือ “ตัวเรา”
นี้เท่านั้นเอง กายยาววา หนาคืบ กว้างศอก นี้เรียกว่าเป็นโลกหนึ่ง
พระองค์ได้ตรัสบ่อยๆกับภิกษุทั้งหลายว่า “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย
ในกายยาววา หนาคืบ กว้างศอกนี้ เราเรียกว่า เป็นโลกหนึ่ง โลกนี้มีใจครอง
มีความรู้สึกนึกคิดอะไรๆก็ล้วนเกิดขึ้นในโลกนี้ทั้งนั้น...ความทุกข์ก็มีอยู่ในโลกนี้
ความสุขก็มีอยู่ในโลกนี้ เหตุของทุกข์ก็มีอยู่ความดับทุกข์ก็มีอยู่
ทางให้ถึงความดับทุกข์ก็มีอยู่นี้....ในตัวเราที่นี่ทั้งนั้น “
มองโลกให้เห็นชัดตามความเป็นจริง
มองตัวเราให้รู้ให้เห็นชัดตามความเป็นจริง เขาเรียกว่ามองโลกถูกต้อง
ถ้ามองโลกไม่ถูกต้องมันก็วุ่นวาย เป็นเหตุให้เกิดความยุ่งยาก เช่น
เรามองเห็นเป็นความสุข เราก็ประมาทมัวเมา นึกว่าสุขแล้ว สบายแล้ว
เลยไม่พยายามที่จะแก้ไขสิ่งทั้งหลายที่เกิดขึ้น
เพราะความมัวเมาติดอยู่ในความสุขสบายนั้น
แต่ถ้าเราเห็นว่าความสุขนี้มันเป็นเรื่องส่วนน้อย ทุกข์มีมากกว่า
เราก็จะได้คิดหาทางว่า จะทำอย่างไรจึงจะแก้ไขความทุกข์ แก้ไขความเดือดร้อนที่มีอยู่ในตัวเรานี้ให้หายไปได้
จุดมุ่งหมายของการศึกษาธรรมมีในรูปเช่นนี้
ทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ทุกข์ ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดง
ที่นี้ทุกข์ที่พระพุทธเจ้าทรงแสดงนี่มีอะไรบ้าง
.....ที่เราสวดมนต์เช้าทุกๆวัน หรือในคัมภีร์ธรรมจักรฯ ท่านก็สอนว่า “อิทัง ทุกขัง
อริยะสัจจัง ทุกข์อริยสัจนี้ได้แก่......
ชาติปิ ทุกขา ชราปิ ทุกขา มะณัมปิ ทุกขัง ฯลฯ
โสกะปริเทวะทุกขะโทมะนัสสุปายาสาปิ ทุกขา “ อันนี้เราสวดมนต์ทำวัตรเช้าน่ะ คือ ความเกิดเป็นทุกข์ ความแก่ เป็นทุกข์ ความเจ็บ เป็นทุกข์
ความตาย เป็นทุกข์ ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจ เป็นทุกข์
ความที่เราไม่ได้สิ่งที่เราต้องการ
ก็เป็นทุกข์ ความโศก ความเศร้า
ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ในกาย ความทุกข์ในใจ ก็เป็นทุกข์ทั้งนั้น
ท่านแจงทุกข์ออกไปอย่างนั้น
ทุกข์ตามธรรมชาติ
อันความทุกข์นี้เราเรียกว่า เป็นทุกข์ประจำ มีอยู่ในตัวคนทั่วไปแต่ว่าไม่ค่อยเห็น
เพราะว่าเราคอยแก้กันอยู่เรื่อยๆไป เช่นตัวอย่างเห็นง่ายๆ
ปวดอุจจาระปวดปัสสาวะนี้มันก็เป็นทุกข์ละ แต่พอปวดขึ้นมา เราไปถ่ายเสีย
ความทุกข์มันก็หายไป
เรานั่งนานๆ ปวดแข้งปวดขา ความปวดแข้งปวดขานี่ก็ทุกข์
เราลุกขึ้นยีดแข้งยีดขาเสีย ความทุกข์มันก็หายไป
นอนนานๆมึ่นหัวเพราะว่าเอาหัวไปทับกับหมอนโลหิตเดินไปเลี้ยงสมองไมสะดวก ไม่คล่อง
เกิดมึนศีรษะ เราก็ลุกนั่งเสีย ก้มหน้าก้มตาบิดหัวไปมา สักประเดี๋ยวเลือดเดินคล่องทุกข์ก็หายไป
ทุกข์ที่เกิดจากความอยาก
ความทุกข์ที่เกิดจากเรื่องอื่นนี่มันหนักใจแก้ยาก คือ “ความทุกข์ที่เกิดจากความอยาก”ซึ่งมีประเภทต่างๆเป็นความทุกข์ที่แก้ยาก
แต่ก็มีวิธีที่จะแก้ไขความทุกข์นั้นให้สงบได้
โดยการศึกษาว่าประเภทของความทุกข์นั้นมีอะไรบ้างดังนี้
ทุกข์จาก “ความเกิด”
“ชาติปิ ทุกขา” ความเกิดเป็นทุกข์
ที่ว่าความเกิดเป็นทุกข์นี้ ทุกข์อย่างไร ?
อ่านเนื้อเรื่องฉบับเต็ม ดาวน์โหลด
No comments:
Post a Comment