Thursday, January 12, 2017

ธรรมะสอนใจคนท้อแท้อกหักการรักษาจิตให้สะอาดสว่างสงบ

ภาพ  เรื่องราวดีๆ บทความดีๆ ธรรมะสอนใจ คนท้อแทอกหัก มีความสุข มีความรัก ธรรมะหลวงพ่อปัญญา

ญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย
 ณ บัดนี้ถึงเวลาที่จะได้แสดงปาฐกถาธรรมะอันเป็นหลักคำสอนในทางพระพุทธศาสนาแล้ว ขอให้ท่านอยู่ในอาการสงบแล้วตั้งอกตั้งใจฟังด้วยดี เพื่อให้ได้ประโยชน์อันเกิดจากการฟังตามสมควรแก่เวลา



มีจิตใจมั่นคงในธรรมะ

วันนี้ฝนตกตั้งแต่เช้ามืด กรุงเทพฯตกหรือเปล่าก็ไม่รู้ นึกในใจว่าโยมคงจะมาลำบาก จะมากันน้อยแต่ก็มากันอยู่มากพอสมควร แสดงว่าญาติโยมทั้งหลาย มีจิตใจมั่งคงในเรื่องธรรมะ ฝนจะตก ฟ้าจะร้อง หรือว่าแดดจะออกก็ไม่ทุกข์ไม่ร้อน  ก็มาตามที่เคยมา เป็นเรื่องที่น่าสรรเสริญในน้ำใจ เมื่อวานซืนนี้ อาตมาไปโคราช ไปที่วัดป่าธรรมดา ชื่อวัดป่าธรรมดา เพราะว่ามีพระไปตั้งสำนักอยู่ที่นั้น เพื่อปาฐกถาแก่ญาติโยม แล้วตอนกลางคืนได้ฉายหนังเรื่องเกี่ยวกับสิ่งที่เป็นสาระให้เขาดูกัน แต่ว่าคนดูไม่ค่อยมาก พอฉายไปได้รอบเดียวก็ลุกขึ้นหนี เขาว่าไม่เห็นสนุกอะไร เพราะเป็นหนังเกี่ยวกับวัดวาอาราม พวกนั้นนึกว่าเป็นหนังเรื่องเลยมา พอจบรอบก็ลุกขึ้นหนีกันหมด

วันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปอำเภอพิมาย ที่ิอำเภอนี้ได้พบเรื่องดีเรื่องหนึ่ง ที่เขาทำกันอยู่ที่นั้น คือท่านเจ้าคณะอำเภอพิมายเป็นพระที่ว่องไว ก้าวหน้า ท่านสนใจที่จะเผยแพร่ธรรมะ ได้ตั้งกลุ่มหนุ่มสาวชาวพุทธขั้น เขาก็นิมนต์ให้ไปเทศน์กับกลุ่มนี้โดยเฉพาะ แต่ว่ามีคนเฒ่าคนแก่มาร่วมด้วยเป็นจำนานมาก ไปเทศน์ที่บ้าน

เขาเรียกว่าบ้านรังกา เป็นหมู่บ้านใหญ่ ญาติโยมมีศรัทธาดี กลุ่มหนุ่มสาวที่มาฟังนี้ประมาณเจ็ดแปดร้อยคน ที่น่าดูคือว่า เป็นเด็กหนุ่มๆสาวๆทั้งนั้น เด็กสาวมากว่าหนุ่ม เรื่องมาวัดนี่ผู้หญิงมากกว่าผู้ชายเขามาพร้อมเพรียงกันดีช่วยกันจัดกันทำ ปูเสื่อสาด ตั้งนำ้ ปูอาสนะ รับแขกที่มา ช่วยกันทำเรียบร้อยซ้อมสวดมนต์กันอยู่ก่อนที่จะไปเทศน์ แล้วก็ไปเทศน์ให้ฟังเป็นเวลาชั่วโมงครึ่ง เขาก็สนใจฟังกันดี

ความจริงคนหนุ่มสาว ควรจะได้เข้าวัดมากกว่าคนแก่เพราะว่ากำลังมีพิษมีภัย เหมือนม้ากำลังฝีเท้าดีถ้าไม่มีบังเหียนดี คนขี่ดีแล้วก็จะไปกันใหญ่ แต่ถ้าไม่มีคนจัดรวมกันเข้าก็ไปกันไม่ได้ ที่อำเภอนั้นเขาได้รวมกลุ่มกันทุกตำบล แล้วก็มีการอบรม มีการสวดมนต์ไหว้พระ มีการนำไปพัฒนาตามบริเวณบ้าน หรือตามวัดวาอาราม จุดมุ่งหมายสำคัญคือต้องการจูงเด็กหนุ่ม เด็กสาวเข้าวัด

ให้รู้จักพระรัตนตรัย คือให้รู้จักพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญเขาจัดขึ้นก็เป็นเรื่องที่เรียกว่าน่าอนุโมทนา เรื่องอย่างนี้ตามบ้านนอกจัดง่าย แต่ถ้าในเมืองใหญ่ๆก็จัดยากเหมือนกัน ที่เชียงใหม่ อำเภอดอยสะเก็ด นายอำเภอในสมัยนั้นเป็นผู้ทีสนใจเรื่องนี้ ก็ได้ตั้งกลุ่มอะไรกันขึ้นพร้อมเพรียงกันดี แต่พอท่านย้ายมาเป็นนายอำเภอเมือง บอกว่าจัดไม่ไหว ในเมืองสู้ไม่ได้ไม่รู้จะรวมอย่างไร มันก็เป็นเรื่องที่แปลก

แต่ก็ไม่เป็นไรใช้วิธีป่าล้อมเมืองไปก่อน ตามแบบที่เขาพูดกันอยู่ หมายความว่า ไปจัดตามบ้านนอกแล้วเอาคนบ้านนอกมาเย้ยคนอยู่ในเมือง ให้เห็นว่าคนบ้านนอกเก่่งกว่า มีอะไรดีกว่ามีความก้าวหน้ากว่าก็เป็นเรื่องที่ดีอยู่เหมือนกัน

อาตมาได้พบได้เห็น แล้วก็นำมาเล่าให้ญาติโยมฟังว่า เป็นเรื่องที่ริเริ่มถูกต้องในการสร้างสรรค์ทางด้านจิตใจ ซึ่งจะเป็นสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมในกาลต่อไปข้างหน้า

บุคคลผู้ไม่สำรวม เป็นผู้มีกิเลสรั่วรดใจ

วันนี้ฝนตกในตอนเช้า พวกเราก็ตั้งใจมาวัดด้วยความเต็มใจ เรื่องฝนตกนี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา มีอยู่ทั่วๆไป เวลานี้เรียกว่าฝนตกผิดฤดูกาล เมื่อวานนี้เดินทางมาฝนตกแถวปากช่อง ตกมากอยู่เหมือนกันแต่พอถึงสระบุรี ไม่มีฝนตกจนกระทั่งถึงวัด ที่วัดมาตกเมื่อเช้านี้เองฝนตกมันก็ดี

ต้นไม้ก็ชุ่มชื่นคนก็จะเย็นอกเย็นใจ ดีกว่าแดดออก แต่ถ้าแดดไม่ออกเลยก็ไม่ได้เหมือนกัน สิ่งทั้งหลายมันต้องมีความสัมพันกัน มีฝนบ้าง มีแดดบ้าง สุขบ้าง ทุกข์บ้างปะปนกันไป ได้บ้างเสียบ้าง อันเรื่องธรรมดาของชีวิตชีวิตของเรามันก็สภาพเช่นนั้น

พูดถึงฝนฟ้าอากาศแล้ว ก็ให้นึกถึงพทธภาษิตบทหนึ่ง มีอยู่ในคัมภีร์ธรรมบทของพระพุทธเจ้าพระองค์ตรัสว่า บ้านเรื่อนที่มุงไม่ดี ฝนย่อมรั่วรดได้ฉันใด บุคคลผุ้ไม่มีความสำรวมระวัง กิเลสย่อมเกิดขึ้นกลุ้มรุมจิตได้ง่ายฉันนั้นเหมือนกัน

พระผุ้มีพระภาคเจ้าตรัสเรื่องนี้ ก็ปรารภเรื่องฝนเหมือนกัน คือฝนมันตก แล้วพระองค์ก็ปรารภขึ้นว่าบ้านเรื่อนที่อยู่อาศัย ถ้าหลังคามุงไม่ดี บังไม่ดี ฝนตกลงมาก็จะเกิด ความทุกข์ ความเดือดร้อน

เพราะฉะนั้น คนอยู่บ้านอยู่เรื่อน จะต้องดูแลหลังคาบ้านให้เรียบร้อย เพื่อไม่ให้ฝนรั่วรดลงมา เมื่อเช้าตื่นขึ้นฝนตก ก็เลยเดินไปที่กุฏิสร้างใหม่ ไปดูว่าหลังคาที่เขามุงนี่มันเรียบร้อยดีหรือเปล่า เดินดูทุกมุมทุกห้อง ว่าฝนมันรั่วบ้างหรือเปล่าดูทั่วแล้วก็สบายใจ ว่าฝนตกหนักก็ไม่รั่ว หลังคานี้พอใช้ได้แล้ว ไม่เป็นไร

บ้านเรือนที่เราอยู่อาศัยก็เหมือนกัน ต้องระวังไม่ให้สิ่งอะไรรั่วเข้ามา ฝนรั่วก็ไม่ได้ อะไรอื่นรั่วรดก็ไม่ได้ ทำให้เสียสุขภาพทางร่างกาย การเป็นอยู่ก็จะไม่เรียบร้อย

การล้างบาปตามหลักพุทธศาสนา

พูดถึงร่างกายของมนุษย์เรา พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าไม่สำรวม ก็เรียกว่ากิเลสมันรั่วรดใจได้ง่ายถ้าไม่สำรวมก็เรียกว่า กิเลสมั่นรั่วรดใจได้ง่าย กิเลสที่มารั่วรดใจนั้น ความจริงมันไม่ได้มาจากภายนอก สิ่งภายนอกเป็นเครื่องมือที่จะก่อให้เกิดกิเลสขึ้น

ธรรมชาติจิตของคนเรานั้น มีคนส่วนมากเข้าใจกันผิดอยู่ คือเข้าใจว่าเรามีกิเลามาตั้งแต่เกิดพอเกิดมาก็มีกิเลสเป็นนิสัย เป็นสันดาน ติดมาอยู่ตลอดเวลา 

หรือบางคนมักจะกล่าวว่า กิเลสเป็นของดั้งเดิม ที่มีอยู่ในจิตใจของเรา ถ้าพูดอย่างนั้นมันไปเข้ากับคัมภีร์ศาสนาอื่นเขาโดยเฉพาะคริสต์

เขาบอกว่าคนเรามีบาปดั้งเดิมมา เพราะฉะนั้นต้องทำพิธีล้างบาป เช่นเวลาใครจะไปเข้าคริสเตียนก็จะต้องทำพิธีล้างบาป การล้างบาปบ้างทีก็ไปล้างกันที่แม่น้ำ พระเยซูก่อนที่จะเป็นผู้สอนศาสนาได้พบนักบวชชื่อ โยฮัน มีอาหารคือตั๊กแตนป่ากับนำ้ผึ้งเป็นอาหาร

แล้วทำพิธีรับศีลน้ำให้แก่พระเยซู คือเอาพระเยซูลงไปในแม่น้ำแล้วก็ให้ดำหัวลงไปฟุดขึ้นสองสามครั้ง ก็ถือว่าเป็นการล้างบาปให้หมดไป

อันนี้มันก็คล้ายๆกับของอินเดีย ความจริงอินเดียกับท้องถิ่นนั้นมันก็ห่างกัน สมัยนั้นการไปมาก็คงจะถึงกันเพราะว่า 500 ปีหลังพุทธปรินิพพาน การเดินทางไปแถวนั้นก็คงจะไปมาถึงกันได้ เพราะว่าพวกกรีซมาตีอินเดียได้แล้วก่อนพระเยซูเกิด

คือ อเล็กซานเดอร์ เกิดก่อนพระเยซู ยกทัพมาตีอินเดีย วัฒนธรรมประเพณีอะไรของอินเดียคงจะไหลหลั่งไปสู่แถวนั้นเพราะฉะนั้น นักบวชจึงนำพระเยูลงไปล้างบาป เรียกว่ารับศีลน้ำที่เขาเรียกว่าทำพิธีแบ๊พติ๊สให้ด้วยวิธีการอย่างนั้น

นั่นก็เพราะเขาเชื่อว่า คนเรานี้มีบาปดั้งเดิมติดตัวมา แล้วก็ไปทำพิธีอย่างนั้น ความจริงบาปนั้นมันไม่อยู่ที่ผิวหนัง ไม่ได้อยู่ที่ร่างกาย แต่ว่ามันอยู่ที่จิตใจ การไปทำพิธีเพียงเท่านั้นมันจะไปช่วยได้อย่างจะชำระออกได้อย่างไร ทำไม่ได้ แต่ทำทำนั้นเขาเรียกว่าทำเป็นพิธี

คล้ายๆกับพวกพราหมณ์ เขาไปล้างบาปในเมืองพาราณสี คือในแม่น้ำคงคา มันก็ล้างไม่ได้หรอกแต่ว่าเขา เชื่ออย่างนั้น เชื่อว่าบาปมันหลุดไปกับน้ำ ถ้าว่าได้อาบน้ำแล้แล้วมันก็หายไปกับกระแสน้ำ ตายไปก็จะได้ไปสวรรค์ นั่นเป็นความเชื่อเก่าแก่ที่มีมาตั้งแต่โบราณว่ามีบาปดั้งเดิม

แต่พระพุทธศาสนาของเรานั้น ไม่ใช่อย่างนั้นพระพุทธเจ้าไม่ได้มีความเชื่อตามแบบเก่า พระองค์ทรงมีความคิดในรูปแบบใหม่ ได้ปฏิรูปความนึกคิดของคนในรุ่นเก่า ให้เป็นคนที่ก้าวหน้าขึ้นในด้านจิตใจ ในด้านธรรมะ ด้วยการบอกว่า


บาปมันไม่ได้อยู่ที่ผิวกาย ไม่ได้อยู่ข้างนอก แต่อยู่ข้างใน

คราวหนึ่ง พระองค์ได้เสด็จไปริมฝั่งแม่น้ำคงคาในสมัยนั้นเป็นนักขัตฤกษ์พิเศษ มีการอาบน้ำใหญ่คือตามตำราของพวกกดูดาว เขาว่าวันนั้นเป็นนักขัตฤกษ์พิเศษ ไปอาบน้ำกันเป็นงานใหญ่มีคนเป็นจำนวนแสน พระองค์ก็เสด็จไปด้วย เพื่อไปพบปะคนเหล่านั้น จะได้ไปไปทำความเข้าใจในเรื่องนี้

พระองค์ไปพบคนเหล่านั้น ก็ทรงถามว่า " พวกท่านมาทำไมกันมากมายอย่างนี้"

เขาก็บอกว่า " มาอาบน้ำตามประเพณีของฮินดูที่เคยทำกันมาก่อน "

พระองค์ก็ถามว่า " พวกเรามาอาบน้ำ อาบเพื่ออะไรกัน "

พวกเหล่านั้นก็บอกว่า " อาบเพื่อล้างบาป ตายแล้วจะได้ไปเกิดในสวรรค์ "

พระองค์ก็เลยถามว่า " ถ้าอย่างนั้น กุ้ง หอ เตา ปลา ที่เกิดในแม่น้ำคงคาที่แช่อยู่ในแม่น้ำนี้ตายไปก็คงจะไปเกิดในสวรรค์ด้วยซิ "

ครั้นถามอย่างนั้น พวกพราหมณ์ไม่ยอม ไม่ยอมให้กุ้ง หอย เต่า ปลา ไปสวรรค์ เลยตอบว่า " ไม่ได้"

พระองค์ก็บอกว่า " เขาเกิดในนั้น อยู่ในนั้นตายอยุ่ในนั้นมากกว่าที่ท่านมาอาบเสียอีก ยังสวรรค์ไม่ได้ แล้วท่านมาอาบเพียงแพล็บเดียว มันจะไปได้อย่างไร "

พูดเช่นนี้ก็เพื่อให้เกิดข้อคิดนั่นเอง พูดให้เขาคิดว่ามันเกิดอยู่ในน้ำ แช่อยู่ในน้ำยังไปไม่ได้ แล้วเรามาอาบประเดี๋ยวประด๋าว มันจะไปได้อย่างไร พูดเพื่อให้ฉุกคิดขึ้นมาในใจ

แล้วพระองค์ก็บอกว่า

" บาปบุญนั้นไม่ได้อยู่ที่ผิวกาย ไม่เหมือนกับขี้ฝุ่นขี้โคลน ที่มาจับอยู่ตามผิวหนัง บาปบุญเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นในใจ เป็นเรื่องของจิตแท้ๆ เราจะมาล้างเพียงร่างกายนั้นล้างไม่ได้

ถ้าจะล้างสิ่งที่เป็นบาป คือ ความชั่วในใจ เราก็ต้องล้างด้วยการประพฤติสิ่งที่ตรงกันข้ามกับสิ่งที่เกิดบาปคือ ทำความดีนั่นเอง ต้องล้างด้วยศีล ต้องล้างด้วยสมาธิ ต้องล้างด้วยปัญญา ไม่ใช้ล้างด้วยน้ำ ดังที่ท่านกระทำอยู่ดังนี้ "

คนฟังนั้นบางคนก็เข้าใจ แต่ว่าไม่ยอมปล่อยเพราะว่าคนเรามันก็อย่างนี้ เรียกว่ามีอุปาทาน คือการยึดติดอยู่ในเรื่องอะไรๆต่างๆ ไม่ค่อยจะปล่อยจะวาง แม้จะเกิดความรู้ความเข้าใจ ยอมรับในสิ่งที่คนอื่นพูดให้ฟัง แต่ว่าความรู้สึกอันเป็นส่วนลึกในจิตใจนั้นยังไม่ยอม ยังไม่ยอมปล่อย อย่างนี้เขาเรียกว่า อุปาทานมั่นคง อย่างเหนี่ยวแน่น ก็ปล่อยไม่ได้ ก็ทำอย่างนั้นต่อไป

การที่พระพุทธเจ้าท่านไปพูดเช่นนั้น ก็เพื่อทำความเข้าใจให้รู้ว่า บาปมันไม่ใช่อย่างนั้น บาปมันเป็นของที่เกิดขึ้นในใจของเรา ด้วยอารมณ์ภายนอกที่มากระทบ

บาปบุญในพระพุทธศาสนา 

หลักการในพุทธศาสนาเกี่ยวกับบาปบุญนั้น มันเป็นอย่างไร คือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นชั่วครั้งชั่วคราว เพราะมีอะไรมากระทบนั้นเอง ไม่ใช่มีอยู่เดิมตลอดเวลา ใจเรานี่ไม่เป็นบาปอยู่ตลอดเวลา แล้วก็ไม่ได้เป็นบุญอยู่ตลอดเวลา แต่ว่ามันเป็นอยู่ตามธรรมชาติของมัน

การเป็นอยู่ตามธรรมชาติของมันนั้น คือ เป็นอยู่อย่างชนิดที่เรียกว่า ไม่มีอะไร มันเฉยๆ ปกติมันไม่มีอะไรจะเรียกว่าดีก็ไม่ได้ จะเรียกว่าชั่วไม่ได้ จะเรียกว่าสุข ก็ไม่ได้ จะเรียกว่าทุกข์ก็ไม่ได้ มันเป็นกลางๆอยู่อย่างนั้นเอง ถ้าไม่มีอะไรมาคุ้ยมาเขี่ย มันก็อยู่สภาพกลางๆไม่เรียกว่าเป็นบุญเป็นบาป

ที่เป็นบุญเป็นบาปขึ้นในใจของเรา หรือว่าเป็นกุศล เป็นอกุศลขึ้นในใจของเรานั้น ก็เพราะสิ่งภายนอกเข้ากระทบ แล้วก็ทำให้เกิดความคิดปรุงแต่งขึ้นมา อันนี้เรียกว่า ความคิดปรุงแต่ง ความคิดปรุงแต่งที่เกิดขึ้นในใจเรา

ที่สวดมนต์ว่า สังขารา อะนิจจา สังขารา อะนัตตา ตัวสังขารนี้แหละเขาเรียกว่า การปรุงแต่งของจิต เมื่อเกิดการปรุงแต่งขึ้น ก็เป็นไปในรูปต่างๆ เช่นปรุงแต่งให้เป็นกุศลก็ได้ ให้เป็นอกุศลก็ได้ สุดแล้วแต่อารมณ์ และเรื่องที่มากระทบ

สมมติว่าเราได้เห็นอะไร แล้วสิ่งนั้นก็ก่อให้เกิดการปรุงแต่งขึ้นในใจเรา ทำให้เราเกิดอะไรขึ้นในใจเช่น เกิดความโลภบ้าง เกิดความโกรธบ้าง เกิดความหลงบ้าง เกิดความริษยาพยาบาทบ้าง

หรือว่าเกิดความรู้สึกศรัทธาเลื่อมใส อยากจะทำบุญสุนทานต่างๆ อันนี้เรียกว่าเป็นเรื่องปรุงแต่ง มันเกิดขึ้นเพราะอารมณ์มากระทบจิตใจของเรา

มันมากระทบที่ตรงไหน ก็มากระทบที่ประตูนั่นเอง ทวารที่เราเรียกว่า ตา หู จมูก ลิ้น กาย ทวาร5 คือ ประตูตา ประตูหู ประตูจมูก ประตูลิ้น ประตูกาย 

แล้วมันก็ไปเกิดการปรุงแต่งขึ้นที่จิตของเราทำให้จิตของเราเปลี่ยนสภาพจากความสงบขึ้นมา จากการไม่ดีไม่ชั่ว กลับกลายเป็นเรื่องดีเรื่องชั่วขึ้นมา สุดแล้วแต่มันจะมากระทบปรุงแต่ง อันนี้คือเรื่องเกิดขึ้น

ไฟกับกิเลส


เมื่อเรื่องอันใดเกิดขึ้นแล้ว ไม่ใช่มันจะอยู่ถาวรอย่างนั้นหามิได้ มันก็ดับไป สิ้นไป ความดีเกิดขึ้นมันก็ดับไป สิ้นไป ความชั่วเกิดขึ้นมันก็ดับไป พระพุทธศาสนาสอนให้เราเข้าใจว่า อะไรๆที่เกิดขึ้นนั้น มันเกิดชั่วขณะเท่านั้น เกิด ดับๆ อยู่ตลอดเวลา


เมื่อมีเชื้อ สิ่งนั้นก็เกิดขึ้น หมดเชื้อ สิ่งนั้นก็แตกดับไป คล้ายๆกับไฟ ไฟไม่ได้มีอยู่ตลอดเวลาแต่ว่ามันเกิดขึ้นเพราะการกระทบ คือการของที่ก่อให้เกิดไฟ

ในสมัยโบราณเกิดไฟก็เพราะว่า เอาหินกับเหล็กมาตีกัน หรือเอาไม้ 2 อันมาสีกัน เขาเรียกว่าไม้สีไฟนั่งสีจนกระทั่งมันเกิดความร้อน แล้วก็มีเชื้อไปวางพอเกิดความร้อนก็ติดไฟขึ้นมา

ไม้ที่จะเอามาสีไฟต้องเป็นไม้แห้ง ไม่ชุ่ม ไม่เปียก เป็นไม้แห้งสนิท แล้วเอามาสีกันสีจนเหงื่อไหลไคลย้อย กว่าจะลุกเป็นไฟขึ้นมา เพราะฉะนั้น คนโบราณเขาจึงคิดติดไฟไว้ตลอดเวลา

พวกฤาษีชีไพรที่อยู่ในป่านั้น ต้องคอยเพิ่มเชื้อไฟให้ลุกไว้เสมอ เพราะว่าถ้ามันดับแล้วมันยากที่จะทำให้ติดขึ้นอีก จะต้องสีกันจนเหงื่อไหลอีก เพราะฉะนั้นเขาจึงมีอุบายให้บูชาไฟ หมายความว่า ต้องเอาใจใส่ในกองไฟต้องคอยเพิ่มเชื้อไว้ให้มันลุกอยู่ แล้วก็สืบต่อกันได้

สมัยเด็กๆก็ยังเห็น แต่ว่าไม่ได้สีไฟแล้ว ใช้ไม้ขีด แต่ไม้ขีดไฟหายาก เมื่อสมัยเป็นเด็กบ้านไหนมีไฟบ้านอื่นก็มาจุดต่อกัน เอาพวกขยะมูลฝอย พวกใบไม้แห้งมาจุดไฟบ้านนี้ เอาไปหุงข้าวบ้านโน้นไม่ใช่ทุกบ้านจะมีไม้ขีดไฟเสมอไปในสมัยก่อน

เพราะฉะนั้น บางบ้านจึงไฟไม่ดับ คอยเอาไม้มาใส่ไว้ พวกแกลบบ้าง อะไรต่อมิอะไรบ้าง มามุ่นไว้อยู่ตลอดเวลา ให้มันกรุ่นอยู่ พอต้องการก็ไปเป่าให้มันลุกแล้วก็ไปจุดเป็นเชื้อต่อไป อันนี้ก็เพราะว่าวัตถุมันหายากไฟเกิดขึ้นก็เพราะการสัมผัสของไม้ 2 อัน เกิดความร้อนแล้วเกิดไฟขึ้นมา

ถ้ายังมีเชื้ออยู่ไฟมันก็ยังลุกอยู่ ถ้ามันหมดเชื้อเมื่อไร ไฟมันก็ดับไปเมื่อนั้น ฉันใด กิเลส ก็เหมือนกับไฟฉันนั้น

ผลของการเกิดไฟกิเลส

เพราะฉะนั้นในที่บางที่ท่านจึงเรียกว่า ไฟกิเลส เช่นราคัคคิ ไฟคือราคะ โทสัคคิ ไฟคือโทสะ โมหัคคิ ไฟคือ โมหะ ไฟคือความริษยา ไฟคือความพยาบาท เรียกว่าเป็นกองไฟทั้งนั้น

ไฟกิเลสมันเกิดขึ้นในใจแล้วทำให้ร้อน เช่น ความโลภเกิดขึ้นมันก็ร้อน ความโกรธเกิดขึ้นมันก็ร้อนความหลงเกิดขึ้นก็ร้อน แล้วก็ไม่ร้อนเปล่า ทำให้มืดมัวไป ทำให้ไม่มองเห็นอะไรชัดเจนแจ่มแจ้ง อันนี้เป็นไฟที่ลุกขึ้นในใจของเรา

ลุกขึ้นแล้วมันก็ดับไป แต่ว่าเรามักจะใส่เชื้อให้มัน เชื้อที่เราเอามาใส่นั้นคืออะไร คือการรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ไม่รู้เหตุผลของสิ่งนั้นๆ ว่า สิ่งนั้นมันเกิดขึ้นอย่างไร มันตั้งอยู่ด้วยอะไร แล้วพิษสงของมันขนาดไหน

เมื่อไม่รู้เท่าทันมันก็เพิ่มเชื้อ การเพิ่มเชื้อไหก็คือ การคิดถึงสิ่งนั้นบ่อยๆ เช่นเราคิดถึงสิ่งที่เราชอบใจก็เกิดไฟราคะ คิดถึงสิ่งที่เราไม่ขอบใจก็ไฟโทสะ  หรือเรียกว่าเกิดไฟโมหะขึ้นมาในใจเรา

นี่เพราะเราเพิ่มเชื้อ คือ การวิตกนั้นเอง เขาเรียกว่า วิตกวิจารณ์ เป็นภาษาธรรมะ เมื่อมีวิตกวิจารณ์ขึ้นก็หมายความว่า เพิ่มเชื้อเพลิงให้เกิดขึ้นในกองไฟ กิเลสของเรามันก็เกิดเรื่อยไป

เมื่อเกิดบ่อยๆก็เรียกว่าเป็นนิสัย คือ ความเคยชินนั้นเอง เช่น เป็นคนขี้โกรธ เป็นคนขี้เกลียด เป็นคนมักริษยา เป็นคนใจร้อน ใจเร็ว เป็นคนประเภทชอบทำตามใจตัวเองอะไรต่างๆ สิ่งเหล่านี้เราอย่านึกว่ามันเป็นของดั้งเดิม มันเป็นของใหม่

แต่ว่าเราทะนุถนอมมันไว้รักษามันไว้ด้วยความหลง จนบางคนมักจะพูดว่า ของเก่าแก่เอาออกยากเต็มที คือว่า

สะสมมานาน มันเกิดขึ้นแล้วก็เอาสะสมไว้ๆจนกลายเป็นเรื่องใหญ่เรื่องโตขึ้นในใจเรา


แล้วเราก็เลยเข้าใจผิดคิดว่าสภาพจิตของเราเป็นเช่นนั้นสภาพจิตของเรามีอาการเช่นนั้นอยู่อยู่ตลอดเวลา อันนี้คือความหลงผิด ไม่ถูกตรงตามหลักของพระพุทธศาสนา

ถ้าเราเกิดความหลงอย่าง มันเสียหายอะไรบ้าง มันเสียหายตรงที่เราไม่ได้ขูดเกลานั้นเอง แล้วก็เสียตรงที่ว่า เราเชื่อผิดไปเสียแล้ว เชื่อว่ามันเอาออกไม่ได้เพราะมันเป็นของเก่า มันเป็นเรื่องเรื้อรัง

บางคนก้หลงหนักลงไปกว่านั้นอีก คือนึกว่ามันติดสันดานมาตั้งแต่ชาติก่อน ภพก่อน เป็นของเก่าแก่เสียเหลือเกิน อย่างนี้ก็ยิ่งไปกันใหญ่เลย ยิ่งไม่มีทางจะขูดจะเกลาได้ เพราะเรานึกว่ามันเก่าเก็บมานานแล้ว เก็บมา 500 ชาติแล้ว

จึงใคร่จะขอทำความเข้าใจใหม่ในเรื่องนี้ คือ อย่านึกว่ามันดองมานานถึงขนาดนี้เลย อย่านึกว่ามันดองมาเป็นปีๆ อย่างนั้น ให้นึกแต่เพียงว่า มันเกิดขึ้นเมื่อได้กระทบอะไรนี่เอง แล้วเราเผลอไป

ประมาทไป ไม่่ได้คิดว่ามันเกิดจากอะไร มีอะไรหล่อเลี้ยงแล้วเราก็เลยติดอยู่ในสิ่งนั้น หลงผิดอยู่ในสิ่งนั้น นึกว่าสิ่งนั้นเป็นของถาวร อันนี้ไม่ใช่หลักพระพุทธศาสนา เป็นเรื่องเกิดขึ้นเป็นขณะๆเรียกว่า ขณิกวาส หมายความว่าเกิด ดับๆ อยู่ตลอดเวลา

ถ้าเรามาเข้าใจในเรื่องนี้ รับความคิดความเห็นแบบนี้ของพระพุทธเจ้า มันจะง่ายแก่การแก้ไขปัญหาต่างๆเกิี่ยวกับจิตใจของเรา เพราะเรารู้ว่ามันไม่ใช่ของที่ติดอยู่นาน แต่มันเป็นของใหม่ๆที่พึ่งเกิดขึ้น

วิธีควบคุมจิตไม่ให้เกิดกิเลส

ถ้าเราจะไม่ให้มันเกิดขึ้นได้ เราจะให้มันดับไปเสียเลยก็ไม่ได้ เพราะสิ่งที่จะเกิดขึ้นนั้น เรารู้เส้นทางของมันว่ามาทางไหน คล้ายๆกับว่าในบ้านเรา มีสัตว์บางอย่างเข้ามาในบ้านเช่น หนู เป็นต้น

หนูมันเข้ามาอยู่บนเพดาน เรานอนกลางคืน มันชวนกันเล่นเสียงกุกกักๆอยู่บนเพดาน เรานอนไม่หลับ มองว่าอะไรอยู่บนเพดาน ไม่มีอะไรหนูมันเล่นกีฬา แล้วเผลอๆก็เข้าห้องครัว

เรารู้หรือปล่าวว่ามันเป็นหนู ถ้าไม่รู้ว่าเป็นหนูบางที่กลัวเข้าไปใหญ่ ผีหลอกแล้ว บ้านนี้อยู่ไม่ได้แล้วผีหลอกทุกคืน เราก็นึกว่าช่างทำเรียบร้อยแล้ว หนูมันเข้าไปอยู่อย่างงงไร มันคงจะเป็นผี เลยกลัวผี

นอนสะดุ้งหวาดกลัวผี พอกลัวผีก็เข้าใจผิดอีก นึกว่าผีนี่มันต้องไล่ด้วยของขลัว เลยไปหาผ้ายันต์มาปิดประตูบ้างอะไรต่อมิอะไร พิธีต่างๆ แต่เจ้าผีหนูก็ไม่หนี ยังอยู่ทุกคืน เราก็เลยตกใจใหญ่ บางที่อาจคิดขายบ้านก็ได้ นี่เพราะความไม่รู้ไม่เข้าใจ

แต่ถ้าเรารู้ชัด เข้าใจชัดว่า อ้อไอ้นี่หนูขึ้นไปวิ่ง นี่หนูแน่ๆ แล้วจะทำอย่างไร เราก็ต้องตรวจดูว่า หนูมันเข้ามาทางไหน เข้ามาอย่างไร หาเส้นทางมันพบ แล้วก็สกัดเส้นทางมันเสีย

เจ้าหนูจะไม่เกิดขึ้นในบ้านต่อไป หรือถ้าเข้ามาก็หาอุบายล่อมัน เอากล้วยวางไว้ อย่ากล้วยเฉยไ เอาอะไรมาวางไว้ด้วย พอหนูมากินกล้วย มันก็งับติดไว้เลย เราก็จับมันได้ แต่ว่าถ้างับอยู่อย่างนั้นหนูตายเลย มันงับแรงตามึคากับดักเลย

เราต้องใช้วิธีอื่น ฝาครอบก็ได้ พอมันติดนฝาครอบแล้ว ก็เรียกแมวมาสักตัวหนึ่ง บอกหนูว่าอยู่ตรงนี้หนาจะเปิดฝาแล้ว พอเปิดฝาแมวเขาก็จัดการเรียบร้อย เราไม่ได้รู้เห็นเป็นใจหรอก เรื่องของแมว

สติปัญญาเป็นเครื่องกั้นกระแสกิเลส

ที่บนกุฏิอาตมา เมื่อปีก่อนก็มีอยู่บนเพดานมันลงมาตามเสาลงจนลื่นเลย ลงทุกคืน เลยรู้ว่าหนูนี่เองอยู่บนนี้รู้ว่ามันมาทางไหน มันมาทางกิ่งมะม่วง กิ่งมะม่วงมันพาดบนหลังคา หนูมันไต่ต้นมะม่วงแล้วไปที่กิ่งแล้วมีรูเข้าไปได้

หนูนี่พอมีรูหัวเข้าได้ตัวมันก็เข้าได้มันก็เข้าไปเกิดลูกเกิดเต้า วิ่งกันเป็นสนามก๊ฬาไปเลย ต่อมาก็ใช้อุบายเอาถังน้ำไปวางไว้่ เอาของกินไปวางไว้ เอาน้ำไปวางไว้ เอาของกินไปวางไว้ เอาน้ำไปวางไว้ด้วย เมื่อมันกินแล้วก็ต้องกินน้ำ

เหมือนคนคนเหมือนกัน เลยมันไปว่ายน้ำต๋อมแต๋มๆทีละตัวๆ ลงไปว่ายน้ำในถัง แล้วยกไปเทที่สนามหญ้า เดี๋ยวนี้ไม่มีแล้วเพราะตัดกิ่งมะม่วงออกด้วย เลยไม่มีหนูรบกวนต่อไป

นี่เล่าเรื่องหนูให้ฟัง ว่าเราต้องรู้ทางมันฉันใด เรื่องของกิเลสก็เหมือนกัน เราต้องรู้ว่ามันเกิดมาทางใดเรื่องของกิเลสก็เหมือนกัน เราต้องรู้ว่ามันเกิดมาทางใด มาจากทางไหน อะไรเป็นเหตุเป็นปัจจัยให้เกิดขึ้น

อันนี้ต้องใช้ 2 อย่าง เขาเรียก สติ กับ ปัญญา ตัวสติกับตัวปัญญานีใช้มาก เพราะฉะนั้นหมวดธรรมะในหมวดต่างๆต้องมีสติมีปัญญากำกับอยู่เสมอ เราจึงได้ยินพระท่านพูดบ่อยๆว่า ต้องใช้สติปัญญาเป็นเครื่องกั้นกระแส

สติเป็นเครื่องกั้น ปัญญเป็นเครื่องกรองอีกที 

กั้นแล้วกรองไว้อีกที 2 อย่างมาร่วมมือร่วมใจกัน แล้วเจ้ากิเลสมันหลุดเข้ามาไม่ได้ มันไม่เกิด เพราะอารมณ์ที่มากระทบมันถูกสติกั้นไว้ ปัญญากรองไว้

เมื่อเรากักไว้แล้ว เราก็มาพิจารณาว่า สิ่งนี้คืออะไร มันเกิดขึ้นอย่างไร มีพิษสงอย่างไร ให้ทุกข์ให้โทษอย่างไร เราก็เอามาแยกพิจารณาเรื่อยๆไป เอาที่ละตัว พิจารณาทีละเรื่อง ไม่พิจารณาทีเดียวแล้วจะจบเรื่อง

ไม่ใช่ ต้องค่อยพิจารณาไป เรียกว่าค่อยรู้เท่ารู้ทันมากขึ้น เข้าใจเรื่องปัญหาชีวิตมากขึ้น เข้าใจเรื่องอะไรต่างๆชัดเจนแจ่มแจ้งมากชึ้น เมื่อเราเข้าใจชัด มันก็หมดฤทธิ์ไปเอง ไม่รบกวนเราให้เกิดทุกข์

ทางเกิดกิเลส 


กิเลสไม่ใช่ของดั้งเดิม บาปไม่ใช่ของดั้งเดิม


อะไรๆที่เกิดขึ้นนั้นมันเป็นเรื่องเกิดขึ้น ดับไป เกิดขึ้น ดับไป อยู่ตลอดเวลา อย่างนี้เรียกว่าหลักการดั้งเดิมก่อนเป็นขั้นมูลฐาน

ทางเกิดของกิเลสมันมีทางหู ตา จมูก ลิ้น กาย และใจ เรียกว่า อายตนะ 6 บ้าง  ทวาร 6 บ้าง


อายตนะ แปลว่า ที่ต่อ คืออายตนะภายในมันไปต่อกันกับภายนอก ภายในก็มี ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอกก็คู่กับ รูป เสียง กลิ่น รส โผฏฐัพพะ และ ธรรมารมณ์ รุูปมาต่อกับตา เสียงมาต่อหู 

กลิ่นมาต่อกับจมูก รสมาต่อลิ้น โผฏฐัพพะต่อกับกายประสาท ธรรมารมณ์ก็เกิดขึ้นที่ใจ มันต่อเนื่องกันอย่างนี้ เมื่อมาเชื่อมโยง มันก็เกิดปฏิกิริยาขึ้นมาทันที

เช่น ตาเห็นรูป ก็เกิดความรู้ทางตา หูได้ยินก็เกิดความรู้ทางหู เป็นต้น มันเกิดขึ้นอย่างนี้เรียกว่า ความรู้ ความรุ้นี้ภาษาธรรมะ เรียกว่า วิญญาณ วิญญาณทางตา ทางหู ทางจมูก เป็นต้น มันเกิดอย่างนี้

วิญญาณเป็นของปรุงแต่ง เกิดขึ้นจากอายตนะภายในกรทบกับอายตนะภายนอก แล้วก็ทำให้เกิดวิญญาณขึ้น ตา+รูป+ความรู้ทางตา มารวมกันเข้า เรียกว่าผัสสะ หรือว่า สัมผัส รวมเข้ากัน 3 อย่างนี้ก็เกิดเวทนา เวทนาคือ สิ่งที่ปรุงแต่ง ปรุงแต่งจิตเราให้รัก ให้ชัง ให้อยากได้ เป็นต้น

ถ้าอยากได้ก็เกิดราคา ความเพลิดเพลินยินดี ถ้าไม่อย่ากได้เกิดโทสะ จิตมันก็รู้สึกหงุดหงิด เกิดการทำร้ายกันขึ้น อยากจะผลักดันสิ่งนั้นออกไป แล้วก็เกิดโมหะ คือ ความไม่รู้ไม่เข้าใจอย่างถูกต้องเรียกว่าเกิดความหลงขึ้นในจิตใจ

เพราะฉะนั้นในวิถีชีวิตของเรา ในวันหนึ่งๆ มันเกิดเป็นไปในรูปอย่างนี้ตลอดเวลา ตราบเท่าที่เรายังมีสติไม่พอ มีปัญญาไม่พอ พอสติไม่ทัน ปัญญาไม่พอ ก็เกิดเรื่อยไปถ้าพิจารณาแล้วก็จะเห็นวามันร้อน มันร้อนทั้งนั้น มันร้อยด้วยความอย่าก มันร้อนด้วยความไม่อยาก 


พุทธะที่แท้

ถ้าเรามีจิตไม่ถูกปรุงแต่ง ก็เรียกว่าเรามีจิตเป็นพุทธะขั้นมา เป็นผู้รุ้ขึ้นมาทันที รู้อะไรถูกต้องขึ้นมาแล้วก็เป็นตัวเองอย่างแท้จริง

สภาพมันอยู่คงที่ หน้าตาดั้งเดิมของมันปรากฏอยู่อย่างนั้น ไม่ถูกฉาบด้วยกิเลส เรียกว่า ไม่ถูกปรุงแต่ง สภาพจิตมันก็เป็นอย่างนี้
สภาพที่ไม่ถูกปรุงแต่ง เป็นของมีอยู่แล้ว ไม่ใช่ ไม่มี มันมีอยู่แล้ว เพราะฉะนั้นเราได้ยินคำพูดบางคำที่เขาพูดว่า พูทธมีอยู่ในตัวแล้ว พระพุทธเจ้ามีอยู่ในตัวท่านแล้ว แต่ท่านไม่รู้จัก

ไปค้นหาภายนอกไปหาพระพุทธเจ้าจากข้างนอก มันจะพบได้อย่างไร คล้ายกับแว่นตาอยู่บนหน้าผาก แล้วก็เที่ยวไปหา มองหาอยู่นั้นแหละ หลานเป็นว่าคุณย่ากำลังมองหาอะไรให้วุ่นวาย หลานถามว่าหาอะไร ยายบอกว่าแว่นตา ก้แว่นมันอยู่ที่หน้าผากยายนั้นงั้ย

พระพุทธเจ้าไม่ได้อยู่ข้างนอกตัวเรา พระพุทธเจ้าที่แท้ก็คือ จิตที่ไม่ถูกปรุงแต่งนั้นเอง ไม่ถูกปรุงแต่งด้วยความรัก ด้วยความชัง ความโกรธ ความหลง ความอะไรต่างๆ อารมณ์ที่อยู่ภายนอกไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดชที่จะมาปรุงแต่งจิตได้ เมื่อไรเมื่อนั้นจิตเราก็เป็นพุทธะ

อะไรต่างๆเราคอยควบคุมมันได้ เพื่อจะให้อยู่สภาพที่เรียกว่า สะอาดอยู่ สว่างอยู่ สงบอยู่ ถ้าจิตเราอยู่ในสภาพสะอาด สว่าง สงบ แล้วมันก็ไม่วุ่นวาย ไม่เกิดปัญหา ไม่เกิดความเร่าร้อนใจ ฝนไม่รั่วรดเราก็นั่งสบาย จิตใจอยู่ในสภาพปกติตลอดเวลา

ดังที่กล่าวมาก็พอสมควรแก่เวลา ขอจบการแสดงปาฐกถาไว้แต่เพียงนี้


No comments:

Post a Comment